โฆษณาต่อต้านคอรัปชั่น

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

ทัขมาฮาล



13

ทัชมาฮาล อนุสรณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ หรือสุสานแห่งความตายของประชาชน?!?

ทัชมาฮาล ตำนานความรักอันยาวนาน เนื่องจากใกล้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักทุกทีแล้ว เราจึงนำ ทัชมาฮาล มาให้ท่านรู้จักกันในสองมุมมอง เนื่องจากมีผู้กล่าวว่า “ทัชมาฮาล อนุสรณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ หรือสุสานแห่งความตายของประชาชน?!? เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้ฟังพระผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ”อนุสรณ์แห่งความรักทัชมาฮาล ว่าแท้จริงแล้วอนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักหรือความตายกันแน่?
ทัชมาฮาล” 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก แห่งประเทศอินเดีย“ สถานที่นี้คนทั่วไปต่างรู้กันว่าเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ เกิดจากความรักที่ไม่ลืมหูลืมตาและความเศร้าที่สุดแสนจะคณานาของจักรพรรดิชาร์จาฮาน กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โมกุล(mughal empire india) ที่ปกครองอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 16 จนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 19 พระเจ้าชาร์จาฮาน ได้พบกับบุตรสาว อรชุมันท์ พานุ เพคุม บุตรสาวของรัฐมนตรีเมื่ออายุ 14 พรรษา และหลงรักนางตั้งแต่แรกเจอต่อมาในอีก 5 ปี พระองค์และอรชุมันท์ พานุ เพคุมก็ได้อภิเสกสมรสกันในปี พ.ศ.2155 นับตั้งแต่นั้นมาทั้ง 2 ก็ไม่เคยอยู่ห่างกันอีกเลย
ตลอดระยะที่อยู่ร่วมกันพระมเหสี หรือนามที่พระเจ้าชาร์จาฮาน ตั้งให้ว่า “มุมตัช มาฮาล” อันแปลว่าอัญมณีแห่งราชวัง เป็นภรรยาที่สุดแสนประเสริฐ ทั้งติดตามพระเจ้าชาร์จาฮานไปออกรบ ช่วยงานราชการ คอยให้คำปรึกษาและให้กำลังใจ อีกทั้งยังมีความเมตตาช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเสมอ ทั้งหมดนั้นทำให้กษัตริย์ชาร์จาฮานทรงประทับใจและรักพระมเหสีอย่างที่สุด
แต่เมื่อครองคู่กันมาเป็นเวลา 18 ปี มุมตัช มาฮาลก็ได้ให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 แต่หลังจากให้กำเนิดพระธิดาพระนางตกเลือดมาก อยู่ได้เพียงไม่นานพระนางก็สิ้นพระชนม์ในอ้อมกอดของพระเจ้าชาร์จาฮาน ซึ่งการสิ้นพระชนม์นี้นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจแก่พระเจ้าชาร์จาฮานอย่างมากมายมหาศาล พระองค์ทรงหมกมุ่นอยู่ในความทุกข์เศร้าโศกเสียใจตลอดเวลาไม่ทรงยิ้มไม่ทรงหัวเราะใดๆ ปล่อยพระวรกายจนผมที่ดำกลายเป็นสีขาวทั้งศีรษะ ในทุกวันพระองค์จะทรงนุ่งขาวห่มขาวไปนั่งรำพันถึงพระมเหสีของพระองค์ข้างหลุมศพอย่างกับคนเสียสติ
ด้วยความเศร้าโศกอย่างหาที่สุดไม่ได้พระองค์จึงทรงสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของพระองค์กับพระมเหสี โดยทรงเลือกทำเลที่ดีที่สุดบริเวณริมโค้งแม่น้ำยมุนาเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์แห่งรักนี้ และพระองค์ก็ทรงทุ่มเทเวลาทั้งหมดในการวางแผนเขียนแปลนก่อสร้างด้วยพระองค์เอง และก็ได้ทรงจ้างสถาปนิกและช่างชาวอาหรับที่มีฝีมือมากมายเพื่อระดมสติปัญญาและกำลังในการก่อสร้างอนุสรณ์แห่งนี้ให้สำเร็จ
ซุ้มประตูทางเข้าทัชมาฮาล
ซุ้มประตูทางเข้าทัชมาฮาล
การสร้างครั้งนี้ใช้แรงงานผู้คนมากมายกว่า 20,000 คน ราชสมบัติส่วนใหญ่ที่มีได้สูญเสียไปกับการสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของพระองค์ กินเวลานานถึง 22 ปี อนุสรณ์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ก็เสร็จสมบูรณ์อย่างงดงาม และพระองค์ก็ทรงให้ชื่อว่า “ทัชมาฮาล” (taj mahal)
 หลายปีต่อมาหลังจากสร้างอนุสรณ์แห่งความรักทัชมาฮาลเสร็จสิ้น ได้เกิดศึกชิงราชบัลลังก์ระหว่างพระโอรสของพระองค์เอง ในระหว่างนั้นเจ้าชายโอรังเซบ (aurangzeb) พระโอรสของพระองค์ก็ได้จับพระเจ้าชาร์จาฮาน ไปกักขังอยู่ที่ป้อมเมืองอัคราซึ่งอยูฝั่งตรงข้ามแม่น้ำกับทัชมาฮาล ด้วยข้อกล่าวหาว่าพระองค์เสียสติ และขึ้นครองบัลลังก์แทน
ระหว่างที่ถูกกักขังพระองค์ทรงมองทัชมาฮาลและรำพันถึงพระมเหสีของพระองค์ตลอด 8 ปี จนกระทั่งในปี ค.ศ.1666 ในวันสุดท้ายก่อนสวรรคตพระเจ้าชาร์จาฮานใช้เวลาทั้งวันในการจ้องมองเศษกระจกที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล หลังจากนั้นพระโอรสก็ได้นำพระศพของพระองค์มาฝั่งไว้เคียงข้างพระมเหสีที่พระองค์รักใคร่มิเคยลืมเลือน

แต่ก่อนที่พระเจ้าชาร์จาฮานจะสิ้ นพระองค์มีพระราชดำริจะสร้างสุสานของพระองค์เองด้วยหินอ่อนสีดำที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำยมุนา พระราชโอรสของพระองค์ทราบก็ทรงกลัวกับค่าใช้จ่ายอันมหาศาลจึงทำการยึดบัลลังก์พร้อมกักขังพระเจ้าชาร์จาฮานไว้ที่ป้อมอักรา
เรื่องราวที่ฉันเล่ามานั้นเป็นหนึ่งในหลายตำนานของทัชมาฮาล ซึ่งนอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าว่า หลังจากที่สร้างทัชมาฮาลเสร็จสิ้นแล้ว พระเจ้าชาร์จาฮานทรงหลงใหลในความงามของทัชมาฮาลและเกรงว่าเหล่าสถาปิกผู้ร่วมออกแบบและผู้สร้างทั้งหลายจะไปออกแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงามเช่นนี้อีก จึงได้ทรงสั่งประหาร หรือตัดมือ ตัดขา ควักลูกตา ช่างทุกคนไม่ให้มีโอกาสได้สร้างผลงานที่สวยเท่านี้อีก
นี่คืออนุสรณ์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ หรืออนุสรณ์แห่งความตายของประชาชนมากมายที่ต้องล้มตายเพื่อบูชาความรักของตนเองเพียงคนเดียว  แต่หากไม่ได้ความรักอันหน้ามืดตามัวของพระเจ้าชาร์จาฮานก็คงไม่มีทัชมาฮาล มรดกโลกที่สร้างสรรค์จากฝีมือมนุษย์ที่สวยงาม ยิ่งใหญ่ และมหัศจรรย์ของโลกให้เราได้โจษขานกันเช่นนี้
นับเป็นความขัดแย้ง ทางความรู้สึกของ ทัชมาฮาล ที่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองมุมไหน หรือมองทั้ง 2 มุม แล้วนำมาเป็นอุทาหรณ์
แต่! เมื่อมีทัชมาฮาลแล้ว เราก็มาว่ากันต่อ ถึงเรื่องความสวยงามของสถาปัตยกรรมอันเลื่องชื่อบรรลือโลก ซึ่งนอกจากพระเจ้าชาร์จาฮานจะออกแบบเลือกแบบที่ดีที่สุดสวยที่สุดแล้ว ยังเลือกวัสดุที่ใช้อย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน ทุกสิ่งอย่างถูกออกแบบมาอย่างสมมาตรลงตัว ตั้งแต่ทางเดินนำสู่ตัวอาคารจะเริ่มต้นด้วยสวนขนาดใหญ่ซึ่งแบ่งเป็น 4 ส่วนที่สมมาตรโดยใช้ธารน้ำ 2 สายที่ก่อสร้างด้วยหินอ่อนเป็นตัวแบ่ง ในธารน้ำมีน้ำพุเป็นระยะ ตลอดแนวธารน้ำยังมีต้นสนปลูกเป็นแนวเรียงรายสวยงามนำสายตาไปสู่ตัวอาคาร
ตัวอาคารล้อมรอบด้วยหออะซานทั้ง 4 ด้าน ทางเข้าด้านหน้าของอาคารตรงกลางเป็นหลังคาโค้งขนาดใหญ่ขนาบด้วยหลังคาโค้งขนาดเล็กทั้งสองด้าน และส่วนที่เด่นที่สุดของทัชมาฮาลก็คืออาคารหินอ่อนสีขาวนวลตั้งอยู่บนฐานยกพื้นสี่เหลี่ยมจตุรัส ด้านบนของอาคารประดับด้วยโดมขนาดมหึมา เส้นผ่านศูนย์กลาง 58 ฟุต ยอดโดมสูง 213 ฟุต ภายในห้องโถงกลางที่ใหญ่ที่สุดใต้โดมยักษ์แห่งนี้เอง มีแท่นวางพระศพที่ทำด้วยหินอ่อนของทั้ง 2 พระองค์วางเคียงคู่กัน แต่พระศพจริงๆนั้นหาได้อยุ่ในหีบไม่ แต่ถูกฝังอยู่ภายในอุโมงค์ใต้ดินตรงกับที่วางหีบศพนั่นเอง
สำหรับการตกแต่งและลวดลายจะเป็นการตกแต่งแบบอิสลาม หลักๆแล้วจะมีลายเส้นอักษร ซึ่งสลักเป็นโองการต่างๆจากคำภีร์อัลกุรอาน 22 ซูรอฮ และยังมีรูปทรงเลขาคณิตและลวดลายดอกไม้ ทั้งยังมีการฝังพลอยที่มีค่าบนผนังด้วย
ชมทัชมาฮาลพร้อมฟังเรื่องราวอนุาภาพแห่งความรักอันยิ่งใหญ่แล้ว ต้องไม่พลาดที่จะไปต่อยัง “ป้อมอัครา” (agrs fort) ซึ่งเป็นสถานที่คุมขังพระเจ้าชาร์จาฮานจนสิ้นพระชนม์ ป้อมอักราแห่งนี้ก็มีความสวยงามยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน และก็ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งด้วย
ป้อมอักรา
Agra Cantt Station…อักกะรา…
ป้อมอัคราหรือพระราชวังอักรา ซึ่งมีป้อมล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ได้ถูกบันทึก ว่ามีมาตั้งแต่ ค.ศ.1080 แล้ว ต่อมากษัตริย์อักบาร์ได้ทำการปฏิสังขรณ์และตกแต่งใหม่ด้วยหินทรายและศิลาสีแดงในปี ค.ศ.1565 ลักษณะของป้อมเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่โค้งแม่น้ำยมุนา ซึ่งถือเป็นมุมที่มองเห็นทัชมาฮาลได้สวยที่สุดก็ว่าได้
 หากมองจากด้านนอกกำแพงของป้อมดูสูงใหญ่และแข็งแรง ซึ่งเป็นกำแพง 2 ชั้นระหว่างกำแพงมีคูน้ำคั่นกลาง มีสะพานเชื่อมต่อสามารถเดินชมได้รอบป้อม ภายในกำแพงสูงใหญ่ราว 70 ฟุตนั้นแบ่งพระราชวังและตำหนักอันงดงาม ในอดีตเคยเป็นที่ทำการของทหาร พระราชฐานชั้นนอกสำหรับออกว่าราชการ และพระราชฐานชั้นในเป็นที่ประทับของกษัตริย์และเหล่าสนม
อาคารส่วนใหญที่ถูกสร้างในสมัยกษัตริย์อักบาร์ ผู้ซึ่งสถาปนาเมืองอักราเป็นราชธานี ศิลปะของป้อมอัคราก็สวยงามละเอียดประณีตผสมกันทั้งแบบพุทธแบบฮินดูแบบเปอร์เซีย ส่วนพระตำหนักของพระเจ้าชาร์จาฮานนั้นสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลังอยู่ด้านหน้าของแม่น้ำยมุนา เพื่อที่จะได้สามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้ตลอดเวลาตามตำนานที่เล่ามา
ลวดลายบนหินอ่อนภายในทัชมาฮาล
การได้เข้าไปเดินใน ทัชมาฮาล มีพลังอบอวลอย่างบอกไม่ถูก เหมือนที่นี่ถูกสร้างขึ้นด้วยความรัก ลวดลายที่เขียนบนหินอ่อนสีขาว เหมือนรอยประทับแห่งความรักที่ไม่มีวันตาย ด้านหลังทัชมาฮาล เป็นพระราชวังเก่าของราชวงศ์โมกุล ตอนนั่งหลบแดดอยู่หลังทัชมาฮาล จะมองเห็นพระราชวังนี้อยู่ทางด้านขวา และ แม่น้ำยมุนาอยู่ตรงหน้า
อิตมัด อุด ดุลลาห์ หรือBaby Taj Mahal
 อิต-มัด อุด ดุลลาห์ (Itimad-ud-Daulah) สุสานหินอ่อนเล็กๆ ตั้งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำยมุนา อยู่ห่างจากป้อมปราการอักรา ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราว 5 กิโลเมตร แม้จะได้สมญานามตามหลัง ทัชมาฮาลว่า “เบบี้ทัช” แต่สุสานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นก่อน ทัชมาฮาล ถึง 20 ปี โดยราชินีในกษัตริย์ จาฮันกิร์ เป็นผู้สร้างขึ้น เพื่อเป็นสุสานรำลึกถึงบิดาของพระนาง เทคนิคการตกแต่งภายนอก-ภายใน ด้วยการใช้หินสีต่างๆ ฝังลงในเนื้อหินอ่ิอนถูกใช้ในการสร้างที่นี่เป็นแห่งแรก ก่อนที่พระเจ้าชาร์จาฮานจะนำเทคนิคนี้ไปใช้สร้างทัชมาฮาลในภายหลัง
สุดท้ายสไตล์คนไทย ต้องไปตลาดถึงไม่ได้ซื้ออะไร ก็ขอให้ได้ไปเดินเพลินๆตา กิจกรรมสนุกๆคือ การต่อรองราคากับแขก มันส์…อย่าบอกใคร ต่อไปเลย 70-80% ไม่ต้องกลัวแขกด่า ถ้าขายได้เขาก็ขาย ขายไม่ได้ก็บ๊าย บายกันไป คนขับสามล้อใจดีแนะนำให้กลับมาดูพระอาทิตย์ตกเป็นการบอกลาทัช มาฮาล ระหว่างทางเห็นสาวภารตะนุ่งส่าหรี โหนรถสามล้อ ขณะที่ผู้ชายนั่งอย่างสบายอารมณ์ในรถ
นี่ล่ะ…อินเดียของจริง!
ลาก่อน “ทัชมาฮาล” อนุสรณ์แห่งความรักนิรันดร์…!! ซึ่งบางคนยังคงขัดแย้งในใจว่า “หรือสุสานแห่งความตายของประชาชน?!?”
พระราชวังแห่งราชวงศ์โมกุล
By : dee
 

หอไอเฟล


===> หอไอเฟลสัญลักษณ์แห่งเมืองปารีส <===

นำข้อมูลมาจาก http://www.thai.net/vibooncom ครับ
      ตลอดหลายยุคสมัย ผู้คนได้ท้ายทายข้อจำกัดทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม เพื่อความพยายามที่จะได้ใกล้คิดกับพระเจ้ามากขึ้น มีบางกลุ่มพยายามหาประโยชน์ใช้สอยจากหอคอยในการทำเสาอากาศ ภัตตาคาร แต่สิ่งดึงดูดใจที่แท้จริงกลับมาจากความคิดที่บริสุทธิ์มากกว่านั้น
        หอคอยเป็นสิ่งที่แสดงถึงความทะเยอทยานของมนุษย์ และหอคอยที่โลกรักมากที่สุดคือ หอไอเฟล (Eiffel Tower) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นหอคอยที่มีความสูงเสียดฟ้า มีความงามสง่า รูปร่างอ่อนช้อย ซึ่งสะท้อนให้เห็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศส หอไอเฟลได้รับการออกแบบและก่อสร้างในปี ค.ศ.1839 มันคือผลงานชิ้นเอกในการ -ฉลองการปฏิวัติฝรั่งเศสอันนอเลือดเมื่อ 100 ปีก่อนหน้า
        14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 ท่ามกลางความต้องการที่จะปฏิวัติ ชาวปารีสได้เข้าโจมตีชนชั้นสูง บุกยึกคุกบัสติล ซึ่งมีผู้มีความคิดขัดแยงทางการเมืองถูกคุมขังเอาไว้ ผู้รัก-ชาติได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นการสร้างพื้นฐานสำหรับการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยยุคใหม่
        อีก 1 ศตวรรษหลังการปฏิวัติ ความภาคภูมิใจของฝรั่งเศสถูกบั่นทอนด้วย ความพ่ายแพ้ของกองทัพต่อเยอรมัน ในปี 1870 และก็ ความคิดที่จะจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ จึงเป็นหนทางอันยิ่งใหญ่เพื่อลืมความปวดร้าว และ เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ความร่ำรวยของประเทศ จึงจำเป็นที่ต้องมีผลงานศิลปะชิ้นเอกที่อวดแก่ฝูงชน และจากความสำเร็จในยุคอุตสาหกรรมจึงนำเสนอความสำเร็จทางวิศวกรรม นั่นคือ หอคอย
        หอคอยเหมือนเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดทางเทคโนโลยี ในอดีตไม่เคยมีใครสร้างหอคอยที่สูงกว่า 1,000 ฟุต หลายคนพยายามลอง แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาก็มีการออกแบบไว้อยู่หลายแบบ แต่ก็ไม่เคยสร้างจริงขึ้นมา ฝรั่งเศสได้จัดการประกวดเพื่อออกแบบหอคอย แบบแรกถูกเสนอโดย เวอร์ริส คล็อกลินซึ่งเป็นหนึ่งในคณะวิศวกรของ กุสตาฟ ไอ-เฟล (Gustave Eiffel)
        กุสตาฟ ไอเฟล เป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ชื่อเสียงของเขาเกิดจาก การออกแบบสะพานที่เต็มไปด้วยจินตนาการ เขาค้นคว้าเกี่ยวกับแนวคิดในการออกแบบด้วยโครงสร้างโลหะ การที่มี กุสตาฟ ไอเฟล เข้ามาร่วมงาน จึงเป็นเครื่องรับประกันในเรื่องเงินทุนสนับสนุน และความสำเร็จของงาน วิศวกรหนุ่มของ กุสตาฟ ไอเฟล 2 คน คือ เวอร์ริส คล็อกลิน และ เอมิล นูลจิเย เริ่มแนวคิดในการสร้างหอคอยสูง 300 เมตร สำหรับงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1890 ในปารีสเขาเริ่มร่างแบบโครงสร้างของหอ-
คอยอย่างคร่าวๆ และขอให้สถาปนิกชื่อ 
สตีเฟน สเตาว์เธอร์ ออกแบบส่วนตกแต่งเพื่อเติม ซึ่งมีลักษณะเป็นช่อดอกไม้ โค้ง และมีปติมากรรมเล็กๆ น้อยๆ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดทางสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1887 ว่า สามารถสัมผัสกับท้องฟ้าในระดับที่เป็นไปไม่ได้ คือ 1,000 ฟุต
        กุสตาฟ ไอเฟล ได้เห็นแบบแปลนและอนุมัติ เขาได้สนใจแนวคิดเกี่ยวกับหอคอยนี้ และได้ออกแบบส่วนตกแต่งเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเข้าไปด้วย การมีชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล อยู่ในโครงการ ทุกคนรู้ผลลัพธ์ของการแข่งขันนี้ การมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองและสังคมของกุสตาฟ ไอเฟล ทำให้มีความพร้อมที่จะผลักดันให้โครงการผ่านหน่วยงานปกครองของปารีสได้อย่างรวดเร็ว และทำให้โครงการจากแบบแปลนสำเร็จเป็นจริงได้ หอคอยซึ่งออกแบบจากความก้าวหน้าในยุคอุตสาหกรรม เป็น งานที่มีความท้าทาทางวิศวกรรม และ กุสตาฟ ไอเฟล จะได้แสดงให้เห็นถึงความความคิดสร้างสรรค์ของเขาที่เคยใช้ในการออกแบบมาแล้ว
        28 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1887 กุสตาฟ ไอเฟล ได้เชิญแขกมากมายมาเป็นพยานในการก่อสร้าง เขาอายุ 53 ปี และหอคอยจะเป็นความสำเร็จที่สมบูรณ์แบบของเขา ในขณะที่พิธีการเริ่มขึ้น วิศวกร 50 คนต้องช่วยกันร่างแบบ จำนวน 5,300 แผ่นสำหรับคนงาน 132 คน ใช้ในพื้นที่ก่อสร้าง ต้องใช้เวลา 4 เดือน ในการทำฐานรากสำหรับขาของหอ-
คอย 
เสา 2 ต้น ถูกติดตั้งบนฐานคอนกรีตหนา 6 ฟุตครึ่ง ที่ความลึก 23 ฟุตจากระดับดิน และมีขา 2 ข้างที่ใกล้กับแม่น้ำแซนมาก จึงต้องใช้เขื่อนโลหะกันน้ำ ป้องกันในขณะที่ทำการเทคอนกรีตบนพื้นที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำ

หมุด 2 ล้าน 5 แสนตัว ที่ใช้ยึดโครงเหล็กของหอไอเฟล
      บนพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสของฐานหอคอยมีความกว้างด้านละ 426 ฟุต จะมีขาของหอคอยทั้ง 4 ในแต่ละด้าน รองรับน้ำหนักของโครงสร้างโลหะกว่า 7,000 ตัน บนฐานจะเป็นฐานก่ออิฐซึ่งจะฝังสมอยึด 2 ตัวสำหรับขาแต่ละข้าง จากฐานนี้ ขาจะถูกขึ้นเป็นมุม 60 องศาในลักษณะคานโครงเหล็ก คานนี้ประกอบไปด้วยท่อนเหล็กและเหล็กแผ่นที่ถูกยึดติดกันที่ด้านข้าง โครงสร้างที่ได้จะมีความเข็งแรงมาก แต่มีนำหนักเบา ประกอบง่าย ใช้มาตรฐานเดียวกัน และ มีราคาไม่แพง เมื่อประกอบเสร็จจะใช้ชิ้นส่วนโลหะทั้งหมด 18,000 ชิ้น และหมุดยึดอีก 2 ล้าน 5 แสน ตัว เพื่อประกอบเป็นหอคอย ทั้งหมดใช้เพียงเหล็กท่อนแบนและแผ่นเหล็กในการประกอบ
        ขั้นตอนแรกของการก่อสร้าง ขาทั้ง 4 ต้นจะถูกสร้างขึ้นพร้อมกันและจะบรรจบกันที่ชั้นแรกของหอคอย ด้วยมุมที่มีความลาดชั้น จึงต้องติดตั้งคำยันที่ขาทั้ง 4 ต้น และติดตั้งคำยันตรงกลางของฐานหอคอยเพื่อรองรับคานในแนวศูนย์กลางที่จะยึดโครงสร้างต่างๆ เอาไว้ ที่ขาแต่ละข้างมีแม่แรงไฮโดรลิกที่สามารถปรับระดับความสูงได้อย่าง -อิสระ และ เพื่อให้ได้ความแม่นยำตามที่ต้องการ เมื่อขั้นตอนเหล่านี้เสร็จสิ้น กุสตาฟ ไอเฟล รู้ว่าไม่มีอะไรหยุดยั้งการบรรลุความฝันของเขาได้ หลายคนก็กลัวว่าหอคอยจะทำ-ลายทัศนียภาพของกรุงปารีส กลุ่มศิลปินหลายคนกล่าวโจมตีว่าเป็นการเอาเปรียบของยุคอุตสาหกรรม และเป็นโคมไฟที่น่าสมเพศที่ผลุดขึ้นมาจากปารีส กุสตาฟ ไอเฟล ได้โต้ตอบกลับอย่างรุนแรงว่า นี่คือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้าง มันจะไม่มีความสง่างามในตัวของมันเองเลยหรือไร
        
        
        
        
        
       วันที่ 2 เมษายน ค.ศ.1888 หอคอยขึ้นสู่ยอดฟ้าของกรุงปารีส เหมือนได้นำเอาจิตวิญญาณของฝรั่งเศสขึ้นไปด้วย ผู้คนชื่นชอบมัน จากการออกแบบโครงร่างอย่างคร่าว
ๆ 
บัดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์อันลื่นไหล ความอ่อนช้อยของโครงสร้าง ส่วนโค้ง แนวประดับต่างๆ ทำให้มีความรู้สึกที่ตรงข้ามกับแนวหมุดที่ยึดเปลือย และหยาบกระด้าง 
นี่เป็นงานศิลปะที่จะบอกให้โลกรับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
       กุสตาฟ ไอเฟล เป็นคนแรกที่เดินขึ้นบันได 1,710 ขั้น เพื่อขึ้นไปที่จุดสูงสุดของหอคอย แล้วแขวนธงชาติ 3 สีของฝรั่งเศส มีการเปิดงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1889 ในกรุงปารีส งานชิ้นเอก คือหอคอยที่สูงกว่า 300 เมตรที่งดงาม และในที่สุดมันจะเป็นที่รู้จักในนาม หอไอเฟล
       ตอนแรกหอคอยถูกเรียกว่า หอคอยแห่ง 320 เมตร , หอคอย 320 เมตร ต่อมามันก็กลายเป็น หอไอเฟล หอไอเฟลถูกวางในพื้นที่ราบเรียบของปารีส และก็ ทำรายได้มหาศาลให้กับ กุสตาฟ ไอเฟล เนื่องจากความมั่นใจถึงความสำเร็จของเขา กุสตาฟ ไอเฟล ได้ออกเงินในการก่อสร้างกว่า 80% และทำสัญญาเป็นผู้ดูแลหอนี้เป็นเวลา 20 ปี กุสตาฟ ไอเฟล มีห้องพักอยู่บนหอคอย ที่ซึ่งเขาทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ และพบปะแขกคนสำคัญ ในปีแรก นักท่องเที่ยวกว่า 2 ล้านคน เดินทางขึ้นลิฟท์เพื่อชมทัศนียภาพของปารีสบนยอดหอคอย ก่อให้เกิดรายได้กว่า 1 ล้านดอลลาร์
       กุสตาฟ ไอเฟล มีรายได้มาจากหอไอเฟลมาก เขาอาจเป็นวีรบุรุษของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1889 แต่อีก 1 ปี หลังจากนั้นเขาถูกตัดสินให้มีความผิด ในการหากำไรกับความล้มเหลวของฝรั่งเศสในการก่อสร้างคลองปานามา โครงการนี้เป็นความฝันของวิศวกรชาวฝรั่งเศสชื่อ เฟอร์ดินาน เดอ เลเซต ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างคลองสุเอด และตั้งใจจะทำเช่นนี้อีกในปานามา เดอ เลเซต ได้เชิญ ไอเฟล มาให้คำแนะนำในทางวิศวกรรมในการสร้างทางน้ำผ่านป่าทึบ ไอเฟล ได้เสนอแนวคิดระบบปิดกันน้ำแบบใหม่ แต่ เดอ เลเซต ไม่เห็นด้วย ผลที่ตามมาคือหายนะ การขุดคลอดไม่สามารถทำผ่านป่าทึบได้ รัฐบาลฝรั่งเศสแทบล้มลาย ผลกรทบทางการเมืองรุนแรงมาก ผู้ที่เกี่ยวข้อถูกประนาม- และ ไอเฟลก็ถูกตัดสินจำคุก 24 เดือน ซึ่งภายหลังถูกยกเลิก แต่บัดนี้ ไอเฟล ก็หมดความปรารถนาในการก่อสร้าง และไม่ได้สร้างอะไรอีกเลย
       ขณะนั้น ไอเฟล มีอายุ 73 ปี และได้อุทิศตนให้กับงานด้านวิทยาศาสตร์ โดยให้ความสำคัญกับการค้นคว้าเกี่ยวกับ อากาศพลศาสตร์ และ ได้สร้างห้องทดลองของตนขึ้นและ ยังคงเปิดทำการจนถึงทุกวันนี้ กุสตาฟ ไอเฟล ทดสอบแรงต้านทานของลมเป็นครั้งแรก เพราะตลอดเวลาการทำงานที่ผ่านมาของเขา ลมคือศัตรูหมายหนึ่ง ในช่วง ค.ศ.
1906-1909 
ไอเฟล ตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับอากาศพลศาสตร์ และได้สร้างอุโมงค์ลมขึ้นเป็นแห่งแรก และเป็นจุดกำเนิดของการศึกษาด้านการบินของฝรั่งเศส
       กุสตาฟ ไอเฟล เป็นวิศวกรที่ยอดเยี่ยมและเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในการสร้างหอคอยสูง 300 เมตร ในตอนแรกมีความตั้งใจว่าหอคอยนี้ จะมีอายุการใช้งานเพียง 20 ปี เขาเริ่มคุ้นเคยกับสถานะภาพชั้นสูงของปารีส และต่อมาเขาพยายามอย่างมากในการรักษาหอคอยเอาไว้ วิทยุเป็นสิ่งที่รักษาหอคอยเอาไว้เนื่องจากความสูงของมัน สัญญาณวิทยุสา -มารถส่งไปถึงอเมริกาเหนือได้ ถึงแม้ต่อมาก็มีคำสั่งให้รื้อทิ้งในปี ค.ศ.1909 แต่หอไอเฟลก็รอดพ้นมาได้ โดย ช่วยเป็นเสาวิทยุให้ฝรั่งเศสติดตามสงคราม ที่กำลังก่อตัวขึ้นในเยอรมนี
       ในปี ค.ศ.1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้น ผลกระทบแผ่ขยายไปทั่วยุโรป สำหรับปารีสนั้น ความขัดแย้งอยู่ใกล้มาก จนทหารต้องนั่งแท็กซี่ไปยังแนวหน้า แต่ด้วย -ความช่วยเหลือของหอไอเฟลนั้น ก็ช่วยให้บรรดา นายพลทำการดักฟังฝ่ายศัตรูและแจ้งเตือนภัยจากเรือเหาะได้
       ในปี ค.ศ.1923 หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ 5 ปี กุสตาฟ ไอเฟล ได้เสียชีวิตลง ตลอดอายุ 91 ปี วิสัยทัศน์ของเขาได้ผลักดันให้ฝรั่งเศสอยู่ในแถวหน้าของ -เทคโนโลยี การออกแบบและโครงสร้างของเขาเป็นบทนำสู่พื้นฐานสู่ศตวรรษที่ 20 หอไอเฟลยังคงยืนหยัดมาได้ เป็นหอที่เกิดจากการถักทอของโลหะ และ อากาศภายใน เกิดความรู้สึกที่ว่างเปล่า ความแข็งแกร่งของหอคอย เหมือนเป็นโซ่ที่เชื่อมระหว่างศตวรรษที่ 19 และ 20 เข้าไว้ด้วยกัน รอยต่อซึ่งจะถูกทำลายอย่างเหี้ยมโหดด้วยลัทธิชาตินิยม การเหยียดเผ่าพันธุ์ ประทุออกจากความพ่ายแพ้ของเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
       พฤษภาคม ค.ศ.1940 ท่ามกลางการโจมตีอย่างสายฟ้าแลบของกองทัพนาซี ปารีสและหอไอเฟลถูกตกเป็นเชลย แต่กองทัพเยอรมันพบอุปสรรค์ในการใช้ประโยชน์จากหอไอเฟล เนื่องจากชาวฝรั่งเศสทำลิท์เสียหาย ทำให้ฮิตเลอร์ไม่สามารถขึ้นไปบนหอคอยได้
       ชาวปารีสมีความโกรธแค้นต่อนาซีมาก กลุ่มปลดปล่อยฝรั่งเศสได้วางแผนกันอย่างลับๆ ในสุสานใต้ดินของชาวโรมันใต้ท้องถนนของกรุงปารีส ที่เป็นอุโมงค์ที่เชื่อมไปทั่วปารีส ทำให้การเดินทางไปที่ต่างๆ ไม่สามารถตรวจพบได้ กลุ่มต่อต้านได้ช่วยทำให้รถไฟขนส่งทหารตกรางซึ่งวิ่งอ้อมกรุงปารีสอยู่ฮิตเลอร์นั้นมีความรู้สึกเกลียดชังกลุ่มปลดปล่อยนี้มาก ขณะที่สงครามยุติ เขาได้ออกคำสั่งให้ระเบิดหอคอยนี้ทิ้ง แต่นายพล ฟรอน โทริส ผู้ซึ่งตกหลุมรักกรุงปารีสได้ยกเลิกคำสั่งนี้โดยพลการ
       การยกพลขึ้นบกในวัน D-Day ที่ชายฝั่งฝรั่งเศสของเหล่ากองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อการปลดปล่อยฝรั่งเศส และกองทัพรถถังอเมริกัน ก็ได้ขับไล่พวกนาซีออกจากหอไอเฟล รัฐบาลฝรั่งเศสอยู่ในช่วงล่มลาย ในปี ค.ศ.1945-1960 ผู้คนชาวฝรั่งเศสออกเสียงเลือกตั้งคณะรัฐบาลที่แตกต่างกันถึง 20 คณะ มันเป็นความยุ่งเหยิงทางการเมือง -
จนกระทั่ง 
นายพลเดอกอล ถูกเชิญชวนให้เป็นผู้นำประเทศภายหลังสงคราม บุคคลที่เข็มแข็งและมีความดึงดูดเท่านั้นที่จะรวบรวมประเทศ และคืนจิตวิญญาณให้กับฝรั่งเศสได้อีกครั้งหนึ่ง จิตวิญญาณของประเทศ ได้รับการปกป้องเสมอมา ภายในกรงเหล็กของหอไอเฟล หอไอเฟลต้องการการดูแลรักษา หากต้องการให้มันยังคงอยู่ต่อไป
       มันถูกออกแบบให้เป็นผลงานชิ้นเอกในงานแสดงสินค้านานาชาติในปี ค.ศ.1889 บัดนี้นับกว่า 1 ศตวรรษการฉลองยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่ผู้คนมากกว่า 1 พันคนได้มา
เยี่ยมชมหอไอเฟลทุกๆ ชั่วโมง
 โดยมีลิฟท์ 4 ตัว ลิฟท์ 1 ตัวต่อ 1 ขา เคลื่อนที่ทำมุม 60 องศา หัวใจสำคัญในการเคลื่อนที่อยู่ภายใต้ขาหอคอยภายในสุสานใต้ดินนับร้อยปี -
โดยใช้น้ำภายใต้แรงดันเป็นตัวขับลูกสูบไปผลักล้อเลื่อนให้ดึงสายเคเบิลขึ้นไป 
เทคโนโลยีอายุร้อยปีถูกหล่อลื่นด้วยไขมันแกะและยังทำงานได้อย่างดี และลิฟท์ที่ชั้น 3 จะขนผู้โดยสายขึ้นไปบนยอดหอคอย
       ที่บนสุด งานบำรุงรักษาดำเนินงานทุกวัน กลุ่มคนงาน 25 คนจะเดินไปตามนั่งร้านเหล็ก ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินงาน 18 เดือน ในการทาสีหอคอย ได้ใช้สีมากกว่า 50 ตัน - งานที่ต้องทำซ้ำๆ ในทุกๆ 7 ปี ไม่เพียงแต่ช่างทาสีที่อยู่บนหอคอยนี้เท่านั้น ช่างไฟฟ้าก็เดินดูตรวจตราหอคอยนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะมันจะต้องมีแผงทำความร้อนเพื่อควบคุมอุณหภูมิน้ำในท่อไม่ให้แข็งเพื่อป้องกันไม่ให้ท่อแตกเมื่ออุณหภูมิต่ำว่า -40 องศาฟาเรนไฮด์ และต้องดูแลหลอดไฟ 360 หลอด ซึ่งได้รับการตรวจสอบ และทำการเปลี่ยนเป็น-ประจำ เพื่อความสวยงามของหอคอย สีทีทาบนหอไอเฟล จะมีโทนสีเหลือง และการที่ถูกส่องด้วยไฟสีเหลือง ก็จะช่วยให้หอไอเฟล ถูกขับออกมาให้เด่นชัดมากขึ้น การให้แสงสว่างก็เพื่อให้หอไอเฟลเป็นดาวเด่นแห่งกรุงปารีส
       ท้องฟ้าสีกุหลาบยามเย็น กัดสีผนังลายหินอ่อนของสถาปัตยกรรมในปารีส หอไอเฟลก็ยังคงตั้งอยู่ในฐานะของความมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยี ความสำเร็จทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม เป็นสัญลักษณ์แห่งกรุงปารีส และ เป็นยังคงเป็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศสเรื่อย

นอร์เวย์


ประเทศนอร์เวย์ กรุงออสโลว์

  
ข้อมูลทั่วไป
ที่ตั้ง
ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ซึ่งอยู่ทางเหนือของทวีปยุโรป

พื้นที่
385,364 ตร.กม.

เมืองหลวง
กรุงออสโล เป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ มีประชากรราว 500,000 คน

สภาพทางภูมิศาสตร์
นอร์เวย์ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวียซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของยุโรป มีพื้นที่ 385,155 ตารางกิโลเมตร (ประมาณร้อยละ 60 ของประเทศไทย) นอร์เวย์มีอาณาเขตทิศเหนือติดต่อกับทะเลบาร์เร็นท์ ทิศใต้ติดกับทะเลเหนือ ทิศตะวันออกติดกับสวีเดน ฟินแลนด์ และรัสเซีย และทิศตะวันตกติดกับทะเลนอร์เวย์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของนอร์เวย์เป็นฟยอร์ด ธารน้ำแข็ง ทะเลสาบ หุบเขา ภูเขา และหน้าผาสูงชันที่ปกคลุมด้วยหิมะ

ภูมิอากาศ
เนื่องจากนอร์เวย์ตั้งอยู่ใกล้กับเขตขั้วโลกเหนือจึงมีอากาศหนาวเย็นถึง 6 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-เมษายน ซึ่งจะมีอุณหภูมิประมาณ 0 ถึง ติดลบ 40 องศาเซลเซียส โดยอากาศในกรุงออสโลจะหนาวที่สุดในเดือนธันวาคมและมกราคม (อาจติดลบถึง 20 องศาเซลเซียส)และมีหิมะตกตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนเมษายน ในช่วงฤดูหนาวระยะเวลากลางวันจะสั้นกว่าเวลากลางคืน โดยในเดือนธันวาคม-มกราคม จะมีแสงแดดเพียงวันละ 0-6 ชั่วโมงเท่านั้น ฤดูร้อนในนอร์เวย์มีระยะเวลาเพียง 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม โดยมีอุณหภูมิประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส ในช่วงนั้นจะมีระยะเวลากลางวันยาวนานกว่าระยะเวลากลางคืน
ประชากร
สถิติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548 นอร์เวย์มีประชากร 4,606,363 คน แยกเป็นชาย 2,284,070 คน หญิง 2,322,293 คน กรุงออสโลเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมีประชากร 529,846 คน รองลงมาได้แก่ เมือง Bergen 239,209 คน เมือง Trondhiem 156,161 คน เมือง Stavanger 113,991 คน และเมือง Baerum 104,690 คน อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากร 0.55 ต่อปี
ภาษาและศาสนา
นอร์เวย์ใช้ภาษานอร์เวย์เป็นภาษาประจำชาติ (Bokmal และ Nynorak) คนนอร์เวย์มากกว่าร้อยละ 90 สามารถพูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้ดี คนนอร์เวย์ร้อยละ 86 นับถือศาสนาคริสต์ (Church of Norway-Evangelical Lutheran)               
วันชาตินอร์เวย์
วันที่ 17 พฤษภาคม
การเมืองการปกครอง
นอร์เวย์มีระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในฐานะ Head of state มีการแบ่งเขตปกครองเป็น 19 Countries และเขตการปกครองพิเศษ Svalbard นอกจากนี้ นอร์เวย์ยังมีรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล (Mucnipality) แต่เรียกว่า Kommune ซึ่งมี 435 Kommune ทั่วประเทศ
ระบบการเมือง
ระบบการเมืองนอร์เวย์มีรากฐานมาจากรัฐธรรมนูญปี 1814 โดยตั้งอยู่บนหลัก 3 ประการ คือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ และสิทธิมนุษยชน เป็นระบบรัฐสภาประกอบด้วยสมาชิก 165 คน มีการเลือกตั้งทุกๆ 4 ปีมีหน้าที่ในการออกกฎหมายต่างๆ โดยมีคณะบุคคลจำนวน 6 คน เรียกว่า Presidium นำโดยประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ในการพิจารณาบรรจุร่างกฎหมายเข้าสภาควบคุมการประชุมและอื่นๆ
เศรษฐกิจ
นอร์เวย์มีระบบเศรษฐกิจแบบเสรี สถานะทางเศรษฐกิจของนอร์เวย์มีเสถียรภาพและมั่นคง รายได้หลักของนอร์เวย์ขึ้นอยู่กับน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ คิดเป็นร้อยละ 50-55 ของรายได้จาการส่งออกของนอร์เวย์ นอร์เวย์ไม่ได้เป็นสมาชิก EUแต่มีความตกลง EEA กับ EU และใช้ระเบียบกฎเกณฑ์ทางการค้าเช่นเดียวกับประเทศใน EU มีการปกป้องภาคเกษตรกรค่อนข้างสูง
เศรษฐกิจที่มั่นคงและรายได้จากน้ำมันทำให้เงินโครนนอร์เวย์มีค่าแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลต่างๆ โดยปัจจุบัน 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับประมาณ 6.2-6.3 โครนนอร์เวย์ หรือ 1 โครนนอร์เวย์เท่ากับประมาณ 6 บาท
ประเทศคู่ค้าสำคัญของนอร์เวย์ ได้แก่ สมาชิกสหภาพยุโรป (อังกฤษ เยอรมัน สวีเดน เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส อิตาลีและเบลเยี่ยม) สหรัฐ แคนาดา ญี่ปุ่น จีน(รวมฮ่องกง) และไต้หวัน สินค้าออกที่สำคัญของนอร์เวย์ ได้แก่ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เหล็ก และเหล็กกล้า อลูมิเนียม เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง (รวมอุตสาหกรรมต่อเรือ) ปุ๋ย เคมีภัณฑ์ เยื่อกระดาษ ผลิตภัณฑ์ประมง ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรอุตสาหกรรม เครื่องไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์ขนส่งทางเรือ เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าและสิ่งทอ คอมพิวเตอร์ กระดาษและอาหาร
สังคมวัฒนธรรม
นอร์เวย์เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและมั่นคงของมนุษยชาติ (Human security) คนนอร์เวย์จึงมีใจเปิดกว้างสำหรับคนชาติอื่น และพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสกว่า ทำให้คนต่างชาติที่ได้รับสัญชาตินอร์เวย์อยู่ประมาณร้อยละ 8 ของจำนวนประชากรทั้งหมด (จำนวน 364,981คน สถิติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548) ส่วนมากเป็นชาวปากีสถาน ชาวเคิร์ด โซมาเลีย และเวียดนาม)
สภาพความเป็นอยู่
ค่าครองชีพ เนื่องจากนอร์เวย์เป็นประเทศที่ร่ำรวย โดยมีรายได้ประชาชาติต่อหัวเฉลี่ยสูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก คือประมาณ 34,000 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ทำให้ค่าครองชีพในนอร์เวย์จัดว่าสูงมากเป็นลำดับที่ 1 ในยุโรป การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ร้อยละ 25 ของราคาสินค้า และภาษีสิ่งเแวดล้อม ทำให้ค่าครองชีพในนอร์เวย์สูงกว่าประเทศไทยประมาณ 5-6 เท่า
ความเป็นอยู่ในนอร์เวย์จัดว่าสะดวก และปลอดภัย มีห้างสรรพสินค้า ร้านขายสินค้าจำนวนมากในเมือง นอกจากนี้ยังมีห้างสรรพสินค้านอกเมืองอีกหลายแห่งรวมทั้ง Supermarket ตามแหล่งชุมชนต่างๆทำให้สามารถหาซื้อสินค้าเกือบทุกชนิด/ประเภท แต่สินค้าทุกอย่างจะมีราคาแพง และโดยที่มีคนเอเชียอาศัยอยู่ในนอร์เวย์เป็นจำนวนไม่ใช่น้อย จึงมีคนไทย คนจีนและคนเวียดนาม เปิดร้านอาหารจีน ร้านอาหารไทย และร้านขายของชำที่มีส่วนประกอบและเครื่องปรุงอาหารจากเอเชียมากมายหลายชนิด ทั้งข้าว และผักสดจากเมืองไทย แต่สินค้าจะสูงกว่าในประเทศไทย อย่างน้อย 3-4 เท่า ถ้าเป็นผักผลไม้สดจะมีราคาสูงกว่าเมืองไทย 10 เท่าขึ้นไป
แหล่งบันเทิงค่อนข้างจำกัดและมีราคาแพง ความบันเทิงในบ้านจากโทรทัศน์และโรงภาพยนตร์ในนอร์เวย์ส่วนมากจะเป็นภาพยนตร์อเมริกัน โดยเปิด Sound Track และมี Norwigian Subtitle ยกเว้นภาพยนตร์การ์ตูนและรายการสำหรับเด็ก จะพากย์ภาษานอร์เวย์โดยไม่มี English Subtitle
การคมนาคม
ถนนในนอร์เวย์มีสภาพดี มีแผนที่บอกเส้นทางอยู่ทั่วไป ถนนส่วนใหญ่มีช่องทางวิ่งเล็ก และวิ่งสวนทาง (two-way traffic) แต่ก็มีความปลอดภัยสูงเพราะมีการจำกัดความเร็วรถยนต์ที่ 80-90 ก.ม./ ชั่วโมง สำหรับเขตชุมชนในเมือง ถนนหลายสายมีกล้องตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ คนนอร์เวย์เคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎจราจร อุบัติเหตุบนท้องถนนจึงเกิดขึ้นน้อย ผู้ฝ่าฝืนไม่เคารพกฎจราจรจะถูกปรับในอัตราที่สูงมาก คือประมาณ 500-2,500 โครนนอร์เวย์ รถยนต์ในนอร์เวย์วิ่งด้านขวา ที่จอดรถส่วนมากต้องเสียค่าที่จอดเป็นรายชั่วโมง ราคาชม.ละ 12-20 โครนนอร์เวย์ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. ยกเว้นวันอาทิตย์ ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับ 9-12    โครนต่อลิตร ผู้ขับขี่จะต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด หากกระทำผิดนอกจากถูกปรับแล้วยังอาจถูกยึดใบอนุญาตขับขี่รถยนต์อีกด้วย                                                  
คนไทยในนอร์เวย
์ จากสถิติของทางการนอร์เวย์เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548 มีคนไทยอาศัยอยู่ในนอร์เวย์ 6,803 คน มีสัญชาตินอร์เวย์แล้ว 1,803 คน โดยมากกว่าร้อยละ 90 เป็นสตรีที่แต่งงานมาอาศัยกับสามีนอร์เวย์ เมืองที่มีคนไทยอาศัยอยู่มาก ได้แก่ กรุงออสโล เมือง Bergen และบริเวณรอบ และเมือง Stevanger และบริเวณรอบเมืองต่างๆ อื่นอีก เช่น เมือง Trondheim Tromso และเมือง Odda ในนอร์เวย์มีวัดไทย 1 วัด ชื่อวัดไทยนอร์เวย์ ตั้งอยู่ในเขต Frogner Kommune  ห่างจากกรุงออสโลไปประมาณ 27 กิโลเมตรโดยมีพระประจำวัดอยู่ 2 รูป
ข้อมูลอื่นๆ ทั่วไป
นอร์เวย์ใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์ ใช้ปลั๊กตัวผู้ขากลม 2 ขา
ในออสโลมีร้านอาหารไทย 4 ร้าน
ค่าโดยสารประจำทางเริ่มที่ 20 โครน
ทางการนอร์เวย์เข้มงวดในเรื่องการนำอาหารเข้านอร์เวย์มาก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์
กฎหมายเข้าเมือง
-ผู้ที่มีหนังสือเดินทางทูตและราชการของไทยสามารถเดินทางไปนอร์เวย์ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าและสามารถพำนักอยู่ได้เป็นระยะเวลา 90 วัน
- ส่วนผู้ที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยต้องขอวีซ่าจาก

สถานเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย 
ตั้งอยู่ที่ อาคาร UBC II ชั้น 18  เลขที่ 591 ถนนสุขุมวิท ซอย 33 กรุงเทพฯ 10110
โทร 02 204 6500 โทรสาร 02 262 0218 อีเมล์ emb.bangkok@mfa.no     
เว็บไซท์  http://www.emb-norway.or.th

การขอวีซ่า
จะต้องมีหนังสือเชิญจากบุคคลหรือองค์กรในประเทศนอร์เวย์ และจะต้องมีเอกสารแสดงฐานะทางการเงินที่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาที่ผู้ขอวีซ่าพำนักอยู่ในนอร์เวย์
(วันละ 500 โครนนอร์เวย์  หรือ น้อยกว่าหากพำนักอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อน)   หรือมีหลักประกันทางการเงินจากบุคคลที่อ้างอิง ผู้ขอวีซ่าจะต้องมีตั๋วเครื่องบินเดินทางไป-กลับ และมีประกันสุขภาพ
หากหน่วยงานของนอร์เวย์มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าผู้ขอวีซ่าหรือผู้ที่เดินทางไปนอร์เวย์จะอยู่ในนอร์เวย์หรือประเทศในกลุ่มSchengen เกินกว่าระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักอยู่  บุคคลผู้นั้นก็จะไม่ได้รับอนุมัติวีซ่าหรือไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมือง
สิ่งของที่อนุญาตให้นำติดตัวไปได้ และสิ่งของต้องห้าม
1. สิ่งของที่อนุญาตให้นำติดตัวไปได้  ได้แก่  
- สุรา (มีแอลกอฮอล์ 22-60 % ) จำนวน 1 ลิตร
- เหล้าไวน์ (2.5 – 22 %)  1.5 ลิตร  
- เบียร์ (2.5 – 4.7 %)  2 ลิตร   
- บุหรี่ 200 มวน 
- เงินสด มีมูลค่าไม่เกิน 25,000 โครนนอร์เวย์
2. สิ่งของต้องห้าม ได้แก่
- สิ่ง เสพติด ยาและสิ่งเป็นพิษ  (ยารักษาโรคสำหรับส่วนบุคคลต้องขออนุญาตก่อน)
- แอลกอฮอล์ ที่มีความเข้มข้นมากกว่า 60 %
- อาวุธยุทโธปกรณ์
- พลุ
- มันฝรั่ง
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
- นกและสัตว์ป่า
- พืช
การแต่งกาย
- เนื่องจากอากาศในนอร์เวย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา   ในช่วงฤดูร้อนอาจใส่เสื้อผ้าเนื้อบาง แต่ก็ควรมีเสื้อกันลม เสื้อกันฝน หรือร่ม ไว้ด้วย  การเดินทางในนอร์เวย์จะต้องเดินเท้าค่อนข้างมากจึงควรมีรองเท้าที่ใส่สบายไว้สำหรับเดิน
- ในฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นมาก  ต้องมีเสื้อโค้ท ผ้าพันคอ ถุงมือ หมวก และรองเท้าที่บุกันความเย็น
- ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิ มักมีฝนตก ควรมีเสื้อกันฝนและรองเท้าบู้ธ
- นอร์เวย์ฉลองวันชาติในวันที่ 17 พฤษภาคม  ประชาชนทั่วไปจะสวมใส่ชุดประจำชาติที่เรียกว่า “Bunad” คนต่างชาติก็ควรแต่งกายให้สุภาพด้วย
ศาสนา
- ประชากรส่วนใหญ่ของนอร์เวย์ประมาณ 85 %  นับถือศาสนาคริสต์นิกาย Evangelical Lutheran แต่ก็ไม่เคร่งศาสนา  มีเพียง 3 %  ที่ไปโบสถ์วันอาทิตย์  นอกจากนี้ มีคนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายอื่นๆ ได้แก่ นิกาย Baptists  นิกาย Pentecostalists  นิกาย Methodists  และนิกาย Roman Catholics
- ส่วนศาสนาอื่นที่มีผู้นับถือมากรองลงไป คือ ศาสนาอิสลาม 
- สำหรับชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ สามารถไปทำบุญไหว้พระหรือร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนาได้ที่ “วัดไทย-นอร์เวย์”  ตั้งอยู่ที่  Trondheimsvegen 582 ,  2016 Frogner  โทร. (47) 6382 0130 หรือ
8532 8522  โทรสาร (47) 6382 0131 หรือ 6382 5591  เว็บไซท์  www.watthainorway.com
อีเมล์ pkamonram@hotmail.com  หรือ  kamonram@online.no

อาหารการกิน
- คนนอร์เวย์ส่วนใหญ่รับประทานอาหารเช้าช่วง 07.00 –08.00 น. อาหารกลางวันช่วง 11-00-12.00น. อาหารว่างช่วง 16.00 – 17.00 น.  อาหารค่ำ ช่วง 20.00-21.00 น. 
- อาหารที่จำหน่ายในนอร์เวย์จะต้องเคร่งครัดต่อกฎระเบียบเรื่องสุขลักษณะเป็นอย่างมาก จึงปลอดภัยต่อผู้บริโภค  คนนอร์เวย์บริโภคนม   ขนมปังสีน้ำตาล  และปลา เป็นจำนวนมาก 
- ราคาอาหารที่จำหน่ายในนอร์เวย์ค่อนข้างแพง
- น้ำจากก็อกน้ำมีความสะอาดเพียงพอที่จะดื่มได้
บุหรี่และสุรา
- ห้ามสูบบุหรี่ในอาคารสาธารณะ สำนักงาน โรงแรม บาร์ ภัตตาคาร (ยกเว้นภัตตาคารกลางแจ้ง)   และรถขนส่งมวลชน    การสูบต้องออกไปสูบนอกอาคาร             
- การดื่มสุรามีข้อกำหนดที่เข้มงวด ผู้ซื้อและผู้ดื่มเบียร์และไวน์ ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป  ผู้ซื้อและผู้ดื่มสุราต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ไวน์ สุรา และเบียร์ที่เข้มข้นมีจำหน่ายเฉพาะในร้าน Vinmonopolet ซึ่งเป็นร้านของรัฐบาล   ส่วนเบียร์สามารถซื้อได้ในร้านซุปเปอร์มาเก็ต ภัตตาคารที่จำหน่ายสุราต้องมี
ใบอนุญาต ห้ามดื่มสุราในสวนสาธารณะและข้างถนน และเมื่อขับรถห้ามดื่มสุราโดยเด็ดขาด
การต่อรองราคาสินค้า
- การซื้อสินค้าตามห้างร้านในประเทศนอร์เวย์ไม่มีการต่อรองราคา ต้องซื้อสินค้าตามป้ายแสดงราคา  ร้านค้าในนอร์เวย์ไม่มีส่วนลดให้กับลูกค้าประจำหรือลูกค้ารายใหญ่     (มีเพียงในตลาดขายของข้างถนนบางแห่งกับร้านขายของมือสองที่อาจลดราคาให้หากซื้อด้วยเงินสดจำนวนมาก)
- ในนอร์เวย์จะมีช่วงลดราคาสินค้า ปีละ 2 ครั้ง  คือ ช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ กับช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม
การสนทนาและปฏิบัติตัวเมื่อพบกับคนท้องถิ่น
- การทักทายกับคนนอร์เวย์ใช้การจับมือ โดยมีการสบตาโดยตรงและยิ้ม  คนนอร์เวย์จะแนะนำตัวเองด้วยการเรียกนามสกุล
- คนนอร์เวย์ถือว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกันและนิยมความสุภาพ เรียบร้อย ไม่ชอบคนที่โอ้อวดฐานะและความร่ำรวย   
- การพูดคุยกับคนนอร์เวย์   คนนอร์เวย์เป็นคนที่ตรงไปตรงมาและยึดถือข้อเท็จจริงเป็นหลักไม่ใส่อารมณ์ในการพูดจาและไม่ใช้ภาษากาย
- การสร้างมิตรภาพกับคนนอร์เวย์ต้องใช้เวลา  คนนอร์เวย์จะมีเพื่อนกลุ่มเล็กแต่ค่อนข้างเหนืยวแน่นและภูมิใจในมิตรภาพที่เต็มไปด้วยความซื่อตรงและจริงใจ  
มารยาทในการรับเชิญไปร่วมรับประทานอาหาร
- หากคนนอร์เวย์เชิญท่านไปรับประทานอาหารที่บ้าน ควรนำดอกไม้ ช็อคโกแลต ขนมไวน์หรือสุราต่างประเทศไปเป็นของกำนัลด้วยผู้ที่รับของขวัญจะเปิดของขวัญเมื่อได้รับทันที
- คนนอร์เวย์เป็นคนที่ตรงต่อเวลาทั้งในการทำงานและในงานสังคม จึงควรไปให้ตรงเวลาตามนัดหมาย 
- ผู้รับเชิญสามารถแสดงน้ำใจที่จะช่วยตระเตรียมข้าวของหรือช่วยเก็บข้าวของเมื่อ
รับประทานอาหารเสร็จ  เพราะคนนอร์เวย์ไม่มีคนรับใช้  ต้องทำงานบ้านด้วยตนเอง
- การรับประทานอาหารเป็นแบบตะวันตกใช้ส้อมและมีดเป็นหลัก ใช้ช้อนสำหรับ
อาหารที่เป็นน้ำใช้มือค่อนข้างน้อย
- ระหว่างรับประทานอาหารไม่ควรคุยเรื่องธุรกิจ  คนนอร์เวย์แยกธุรกิจกับชีวิตส่วนตัว
- เมื่อรับเชิญจากฝ่ายนอร์เวย์แล้ว ควรเป็นเจ้าภาพเชิญฝ่ายนอร์เวย์ด้วยเป็นการตอบแทน

มารยาททางธุรกิจ     
- การเจรจาธุรกิจในนอร์เวย์เป็นลักษณะที่ไม่เป็นทางการและมีการติดต่อสื่อสารกันโดยตรง แต่มีความจำเป็นต้องนัดหมายกันล่วงหน้าเป็นเวลานาน  ไม่ควรกำหนดการพบปะเจรจาในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงของการหยุดพักร้อน ตลอดจนช่วง 2 สัปดาห์ก่อนและหลังวันคริสต์มาส และช่วง 1 สัปดาห์ก่อนและหลังวันอีสเตอร์ 
- ควรส่งหัวข้อการเจรจาไปให้ฝ่ายนอร์เวย์ล่วงหน้าเพื่อการเตรียมตัว    
- วันนัดหมายควรไปตรงเวลา  การเจรจาควรพูดตรงประเด็น  ไม่พูดเยิ่นเย้อ คนนอร์เวย์ชอบเจรจาธุรกิจอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาน้อย   และจะไม่ขัดจังหวะเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งพูด จะถามคำถามต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งพูดจบแล้ว

หากท่านจะอยู่อาศัยในประเทศนอร์เวย์
เป็นระยะเวลานาน โปรดแจ้งชื่อ และที่อยู่
ต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อประโยชน์ในการติดต่อ
หรือให้ความช่วยเหลือในกรณีจำเป็น
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล
(Royal Thai Embassy)
Eilert Sundts gate 4
0244 Oslo NORWAY
โทรศัพท์ (47) 22 12 86 60, 22 12 86 70
โทรสาร (47) 22 04 99 69, 204-9835
E-mail : mailto:thaiath@otenet.gr

การขอหนังสือเดินทางและขอ

ดิสนีย์แลนด์

ดิสนีย์แลนด์ ดินแดนแห่งเวทย์มนต์ในฝัน
 
วันนี้คงไม่ได้เป็นเพียงเพียงความฝันของเด็ก ๆ ชาวฮ่องกงอีกต่อไป
ที่จะมีสวนสนุกขนาดใหญ่ ได้สัมผัสตัวการ์ตูนดิสนีย์ที่ชื่นชอบโดยไม่ต้องขึ้นเครื่องบินไปไหนไกล
เมื่อฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ก.ย.48 ที่ผ่านมา
ไม่เพียงแต่ชาวฮ่องกง ยังมีชาวจีนแผ่นดินใหญ่ และประเทศอื่น
หลั่งไหลกันเข้ามาเที่ยวชมสวนสนุกในฝันแห่งนี้จำนวนมาก
 
       ย้อนไปในอดีต สวนสนุกดิสนีย์แลนด์แห่งแรก เกิดขึ้นจากความฝันของ วอลซ์ ดิสนีย์ (Walt E. Disney) ที่ต้องการสร้างสวนสนุกที่เด็กและผู้ปกครองสนุกไปด้วยกันได้ แผนดั้งเดิมนั้นจะสร้างขึ้นบนพื้นที่ 8 เอเคอร์ (ประมาณ 20.23 ไร่) ถัดจาก สตูดิโอ Burbank เพื่อให้ลูกจ้างและครอบครัวได้พักผ่อนกัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ความคิดนี้ได้ถูกระงับไว้ชั่วคราว แต่ความฝันของวอลซ์ยังดำเนินต่อไป เขาเริ่มมองว่าพื้นที่ 8 เอเคอร์นั้นน้อยเกินไป การสร้างสวนสนุกจะต้องใช้เงินลงทุนและพื้นที่จำนวนมาก มีเพียงวอลซ์ และรอย (Roy O. Disney) น้องชายของเขา และคนอื่นอีกไม่มากที่เชื่อว่าสวนสนุกนี้จะประสบความสำเร็จ วอลซ์เคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่า “ผมไม่เคยให้ความเชื่อมั่นกับนักการเงินได้เลยว่า ดิสนีย์แลนด์จะเกิดขึ้นได้ เพราะความฝันเป็นหลักประกันที่น้อยเกินไป” วอลซ์ตัดสินใจที่จะใช้ทีวีเผยแพร่ความคิดเกี่ยวกับดินแดนแห่งเวทย์มนต์ (Magic Kingdom) ไปถึงบ้านประชาชน รายการนี้เรียกว่า ดิสนีย์แลนด์ และนี่เองได้นำความคิดไปสู่ความเป็นจริงสำหรับดิสนีย์และชาวอเมริกัน
 
ภาพ: Walt Disney Productions ©1979
ป่าส้ม 160 เอเคอร์ พื้นที่สร้างอภิปรายถึงแผนการสร้างสำรวจโครงการสร้างปราสาทเจ้าหญิงนิทราความฝันใกล้เป็นจริง
 
       ในช่วงการออกแบบ ดิสนีย์ได้รับคำถามกดดันมากมายในการออกแบบ ว่าสิ่งนั้นจะทำได้ยังไง สิ่งนี้จะทำออกมาได้หรือ นับเป็นงานที่ไม่เคยทำกันมาก่อน แต่ในที่สุดก็ได้แบบดิสนีย์แลนด์ที่มีทั้งหมด 5 ส่วน คือ
 
      เมนสตรีท ยูเอสเอ (Main Street USA) เป็นที่ซึ่งวอลซ์ต้องการให้ถนนสายหลักของเมืองในศตวรรษก่อนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เหมือนสมัยเด็กที่เขาอาศัยอยู่ในมิสซูรี่ เขาพูดว่า “สำหรับพวกเรามันเป็นเวลาที่ไม่ต้องห่วงกังวลอะไร มีแต่ความเพลิดเพลินใจ เมนสตรีทจะนำความทรงจำที่มีความสุขกลับมา และสำหรับนักท่องเที่ยวเด็กและหนุ่มสาวมันเป็นเรื่องสนุกที่จะย้อนเวลากลับไปในช่วงวัยหนุ่มของคุณปู่”
เมนสตรีทยูเอสเอที่ฟลอริดา (ซ้าย) และปารีส (บน)
 
อนุสาวรีย์ดิสนีย์และมิคกี้ที่สุดถนน
เมนสตรีท ยูเอสเอ
       แอดเวนเจอร์แลนด์ (Adventureland) เป็นสถานที่ต้นแบบแห่งความแปลกในดินแดนอันไกลโพ้นของโลก วอลซ์บอกว่า “เพื่อสร้างดินแดนที่ความฝันเป็นความจริง เราจะต้องวาดภาพตัวเราเองให้ห่างไปจากความเจริญ อาจเป็นในป่าห่างไกลของเอเซียและแอฟฟริกา”
 
เรือท่องป่า Jungle Cruiseบ้านทาร์ซานเรือมาร์คทเวน และโคลัมเบียในฟรอนเทียร์แลนด์
 
       ฟรอนเทียร์แลนด์ (Frontierland) ทำให้วันแห่งการบุกเบิกดินแดนอเมริกากลับมาอีกครั้ง วอลซ์กล่าวว่า “พวกเราทั้งหมดภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติ ซึ่งเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้จากพลังแห่งการบุกเบิกของบรรพบุรุษ การผจญภัยที่เราได้ออกแบบขึ้นนี้จะทำให้คุณรู้สึกมีชีวิตชีวา แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างวันแห่งการบุกเบิกประเทศ”
 
ปราสาทเจ้าหญิงนิทรายามค่ำคืน (บน) และปราสาทเจ้าหญิงนิทราที่ปารีส (ซ้าย)
       แฟนตาซีแลนด์ (Fantasyland) สร้างขึ้นด้วยเป้าหมายที่ว่า ทำความฝันให้เป็นจริง (Make a dreams come true) จากเนื้อเพลง When you wish upon a star วอลซ์บอกไว้ว่า เด็ก ๆ ไม่ได้ฝันที่จะบินไปกับปีเตอร์แพน หรือตกลงไปในดินแดนมหัศจรรย์ของอลิสงั้นหรือ? ในแฟนตาซีแลนด์ นิทานคลาสสิคในวัยเยาว์ของทุกคนจะกลายมาเป็นจริงสำหรับให้เด็ก ๆ และคนทุกวัยได้เข้าร่วม
 
     ทูมอโรว์แลนด์ (Tomorrowland) เป็นความพิศวงแห่งอนาคต วอลซ์กล่าวว่า พรุ่งนี้อาจเป็นยุคสมัยมหัศจรรย์ นักวิทยาศาสตร์ของเราวันนี้กำลังเปิดประตูไปสู่ยุคอวกาศเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ของเรา และเจนเนอเรชั่นต่อ ๆ มา สิ่งที่น่าสนใจในทูมอร์โรว์แลนด์คือได้ออกแบบให้คุณมีโอกาสเข้าร่วมผจญภัยไปกับชีวิตในอนาคต
 
 
ทูมอโรว์แลนด์ (ขวาบน) และส่วนหนึ่งของทูมอโรว์แลนด์ ออโทเปีย Autopia (บน)
โมโนเรลบลู:Monorail Blue กำลังแล่นผ่านทะเลสาบ (ขวากลาง)
ท่องไปในหมู่ดวงดาว Star Tour (ขวาล่าง)
  
       การก่อสร้างดิสนีย์แลนด์แห่งแรกนี้ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 1954 บนพื้นที่ป่าส้มขนาด 160 เอเคอร์ แน่นอนว่า ทุกสิ่งไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นตามแผนที่วางไว้ ปัญหาที่ไม่คาดคิดหลายอย่างเกิดขึ้น เช่น ตอนสร้างแม่น้ำแห่งอเมริกา (River of America) ทุกคนตื่นเต้นมากที่ได้เห็นน้ำไหลเข้ามาครั้งแรก แต่แล้วความสุขกลับกลายเป็นความเศร้าเมื่อน้ำซึมลงดินไปหมด หลังจากการทดลองหลายครั้ง ดินเหนียวจึงถูกนำมาใช้ในการการปัญหานี้ บางครั้งวอลซ์ไม่ชอบงานที่นักออกแบบของสตูดิโอทำมา เขาก็จะทำมันด้วยตัวเอง เช่น เกาะของ Tom Saywer วอลซ์คิดว่านักออกแบบไม่เข้าใจไอเดีย เขาจึงนำแผนกลับไปบ้าน และวันต่อมาก็มีแบบมาอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้
 
       ดิสนีย์แลนด์ แยกตัวจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ เมื่อกำแพงสูง 20 ฟุตถูกสร้างขึ้นโดยรอบ ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นรางรถไฟดิสนีย์แลนด์ ความคิดดั้งเดิมเพียงความคิดเดียวจากไอเดีย Magical Little Park ของดิสนีย์
 
       ใช้เวลาสร้างเพียงปีเดียว ดิสนีย์แลนด์ก็พร้อมที่จะเปิดตัว จากสวนสนุกแห่งเวทย์มนต์เล็ก ๆ (The magical little park) กลายเป็น อาณาจักรแห่งเวทย์มนต์ (Magical Kingdom) ทุนสร้าง 17 ล้านดอลลาห์ ความฝันของวอลซ์กลายเป็นจริงในที่สุด และสวนสนุกดิสนีย์แลนด์แห่งแรกก็เปิดตัวขึ้นในวันที่ 17 ก.ค.ปีค.ศ. 1955 ที่ Anaheim รัฐแคลิฟอเนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
 
 
 
       ต่อมาในช่วงยุค 90 แผนการขยายดิสนีย์แลนด์ได้ถูกจัดทำขึ้น บริษัท วอลซ์ ดิสนีย์ ได้ซื้อที่โดยรอบสวนสนุก คอมเพล็กซ์ที่ขยายออกมาประเดิมเปิดเป็น Disneyland Resort ในปี 2001 พร้อมกับเปิดดาวน์ทาวน์ดิสนีย์ (Downtown Disney) ในเดือนมกราคม และดิสนีย์ แคลิฟอร์เนีย แอดเวนเจอร์ (Disney California Adventure) ในเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ยังได้สร้างโรงแรมขึ้น 3 แห่งบนที่จอดรถเดิมของดิสนีย์แลนด์ และที่ดินที่ซื้อมาใหม่
 
       ดิสนีย์แลนด์ฉลองครบรอบ 50 ปี ในปี 2005 ให้ชื่อว่า งานคืนสู้เหย้าความสุขที่สุดบนโลก (The Happiest Homecoming on Earth) เปิดงานไปเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2005 ซึ่งจะมีการฉลองเป็นเวลา 18 เดือน
 
ปราสาทเจ้าหญิงนิทราที่ได้รับการตกแต่งเพื่องานฉลองครบรอบ 50 ปี

ข้อมูลจำเพาะ
       สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ แคลิฟอร์เนียร์ ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งใน ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท ตั้งอยู่ห่างจากลอสเองเจลลิสไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 27 ไมล์ (ประมาณ 43.5 กม.) มีพื้นที่ 85 เอเคอร์ (ประมาณ 215 ไร่) ที่จอดรถ 10,250 คัน สวนสนุกแบ่งเป็น 8 ส่วนคือ
แอดเวนเจอร์แลนด์ (Adventure Land) ดินแดนแปลกประหลาดของเอเซีย แอฟฟริกา อินเดีย และแปซิฟิกใต้ มีสิ่งดึงดูดหลักที่น่าตื่นเต้น คือ อินเดียนาโจนส์ แอดเวนเจอร์
คริทเทอร์ คันทรี่ (Critter Country) ดินแดนทุรกันดาร เป็นที่ตั้งของ Splash Mountain และ Country Bear Playhouse
แฟนตาซีแลนด์ (Fantasy Land) ดินแดนแห่งความสุขจากมนต์เสน่ห์ในหนังสือนิทาน อยู่ถัดไปจากปราสาทเจ้าหญิงนิทรา
ฟรอนเทียร์แลนด์ (Fontier Land) อาณาจักรที่น่าตื่นเต้นของนักบุกเบิก และย้อนกลับไปยังตะวันตกยุคเก่า
เมนสตรีทยูเอสเอ (Mainstreet USA) ประกอบด้วยเมืองเล็ก ๆ ของอเมริกาประมาณช่วงปี 1900
นิวออลีนส์ สแควร์ (New Orleans Square) เป็นที่รวมของร้านแปลก ๆ , โจรสลัดแห่งทะเลแคริบเบียน (Pirates of Caribbean) และแมนชั่นผีสิง
ทูมอโรว์แลนด์ (Tomorrow Land) สู่ยุคอวกาศ ก้าวเข้าสู่จินตนาการและไกลออกไป
มิคกี้ ตูนทาวน์ (Mickey's Toontown) โลกการ์ตูนสามมิติ บ้านเกิดมิคกี้และเพื่อน
 
       นอกจากสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ในแคลิฟอร์เนียร์แล้ว ในปี 1971 อาณาจักรแห่งเวทย์มนต์ แมจิค คิงดอม (Magic Kingdom) ได้เปิดขึ้นเป็นแห่งที่ 2 ในวันที่ 1 ตุลาคม สวนสนุกแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ 107 เอเคอร์ (ประมาณ 270.63 ไร่) ในวอลซ์ ดิสนีย์ เวิล์ดรีสอร์ท (Walt Disney World Resort) ใกล้กับออลันโด (Orlando) รัฐฟลอริดา มีบริษัท วอลซ์ ดิสนีย์ เป็นเจ้าของและดำเนินงานเอง นับเป็นสวนสนุกแห่งฟลอริดาที่มีชื่อเสียงที่สุด การออกแบบและเครื่องเล่นต่าง ๆ โดยทั่วไปเหมือนกับดิสนีย์แลนด์แคลิฟอร์เนียร์ ได้รับการออกแบบและสร้างโดยจินตวิศวกรของวอลซ์ดิสนีย์ (Walt Disney Imagineering)
 
       ดิสนีย์แลนด์ฟลอริดานี้ นอกจากจะมีอนุสาวรีย์หุ้นส่วน (Partner Statue) วอลซ์ ดิสนีย์ และมิคกี้ เม้าส์ ที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ อยู่ด้านหน้าปราสาทซินเดอเรลล่าแล้ว ยังมี อนุสาวรีย์ทองสัมฤทธิ์ของ รอย โอ ดิสนีย์ (Roy O. Disney) นั่งอยู่กับ มินนี่ เม้าส์ ใกล้ทางเข้าสวนสนุกด้วย
 
ปราสาทซินเดอเรลลา (บน), ปราสาทซินเดอเรลลาตกแต่งเพื่องาน
Happiest Homecoming on Earth (ซ้าย), อนุสาวรีย์รอยและมินนี่ (ล่าง)
 
       ประเทศญี่ปุ่นเป็นที่ตั้งดิสนีย์แลนด์แห่งที่ 3 และเป็นดิสนีย์แลนด์แห่งแรกที่สร้างนอกประเทศสหรัฐอเมริกา โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) ตั้งอยู่ในโตเกียว ดิสนีย์ รีสอร์ท (Tokyo Disney Resort) ที่เมือง อุระยะซึ จังหวัดจิบะ ซึ่งอยู่ใกล้กับโตเกียว สร้างโดยทีมจินตวิศวกรวอลซ์ดิสนีย์ ในสไตล์เดียวกับดิสนีย์แลนด์ในแคลิฟอร์เนีย และแมจิคคิงดอมในฟลอริดา เปิดให้บริการความสุขมาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน ปี 1983 มีบริษัท โอเรียนทัล แลนด์ (Oriental Land) เป็นเจ้าของ โดยซื้อลิขสิทธิ์สวนสนุกนี้จากบริษัทวอลซ์ดิสนีย์
 
       โตเกียวดิสนีย์แลนด์ ประกอบด้วย ส่วนเวิล์ดบาร์ซา (World Barzaar) ซึ่งมี เพนนีอาเขต (Penny Arcade) รวมเครื่องเล่นเกมส์อาเขตตั้งแต่ยุค 80 ถึงกลางยุค 90, ดิสนีย์แกลเลอรี่ (Disney Gallery) อยู่ชั้นบนของเวิล์ดบาร์ซา เป็นที่จัดนิทรรศการ และมีการสอนวาดการ์ตูนดิสนีย์ด้วย และ Omnibus เป็นรถที่ใช้กันมากช่วงก่อนศตวรรษที่ 20 นั่งรถ 2 ชั้นชมพลาซ่าและบรรยากาศโดยรอบ, ดิสนีย์แลนด์คลาสสิค ซึ่งมี แอดเวนเจอร์แลนด์, เวสเทิร์นแลนด์, แฟนตาซีแลนด์ และทูมอโรว์แลนด์ , และโซนย่อย คือ คริทเตอร์ คันทรี่ และมิคกี้ ตูนทาวน์
 
ปราสาทในโตเกียวดิสนีย์แลนด์รถ Omnibus (บน) สแปลชเมาท์เทน (ล่าง)เพนนีอาเขต
 
       นอกจากนี้ในโตเกียวดิสนีย์รีสอร์ทยังมีสวนสนุกอีกแห่งที่ได้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหุ้นส่วนรายอื่น ๆ คือ โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo Disneysea) สวนสนุกทางน้ำ ประกอบด้วย ดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ (Lost River Delta), ชายฝั่งอาราเบียน (Arabian Coast), การค้นพบเมืองท่า (Port Discovery), ทะเลสาบนางเงือก (Mermaid Lagoon), เกาะลึกลับ (Mysterious Island), ชายฝั่งอเมริกัน (Amarican Waterfront) และอ่าวเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Harbor)
 
ภาพส่วนต่าง ๆ ภายในโตเกียวดิสนีย์ซี
 
       สวนสนุกดิสนีย์แลนด์แห่งต่อมาคือ ดิสนีย์แลนด์ปาร์ค หรือที่รู้จักกันในชื่อ Parc Disneyland อยู่ภายใน ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท ปารีส (Disneyland Resort Paris) ประเทศฝรั่งเศส เจ้าของคือ Euro Disney SCA ดิสนีย์แลนด์ปาร์คสร้างขึ้นตามแม่แบบที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จจากดิสนีย์แลนด์ แคลิฟอร์เนียร์, แมจิคคิงดอม ฟลอริดา และโตเกียวดิสนีย์แลนด์ เปิดดำเนินการครั้งแรกภายใต้ชื่อ ยูโร ดิสนีย์แลนด์ (Euro Disneyland) ในวันที่ 12 เมษายน 1992 จากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น ดิสนีย์แลนด์ ปารีส (Disneyladn Paris) ในวันที่ 1 ตุลาคม 1994 และสุดท้ายเมื่อวอลซ์ดิสนีย์ สตูดิโอ เปิดตัวขึ้น ก็เปลี่ยนชื่อเป็น ดิสนีย์แลนด์ปาร์ค (Disneyland Park) ในวันที่ 16 มีนาคม 2002
 
       ดิสนีย์แลนด์แห่งนี้มีความแตกต่างจากดิสนีย์แลนด์ดั้งเดิมบ้างแต่ไม่ต่างมากเท่ากับโตเกียวดิสนีย์แลนด์ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ มีการเปลี่ยนจากทูมอโรว์แลนด์ เป็นดิสคัฟเวอรี่แลนด์ (Discoveryland) ซึ่งจะเป็นมุมมองของคนในอดีตมองไปยังอนาคตแทนมุมมองเดิมที่เป็นคนยุคปัจจุบันมองอนาคต ในส่วนแมนชั่นผีสิงก็ไว้ในฟรอนเทียร์แลนด์แทนของเดิมที่ไว้ในนิวออลีนสแควร์ และเรียกกันในชื่อ แฟนทอม เมเนอร์ (Phantom Manor) นอกจากนี้การตกแต่งในเมนสตรีท ยูเอสเอยังมีแนวโน้มไปทางศิลปะในช่วงทศวรรษ 1920 แต่ก็ยังคงดูคล้ายกับในดิสนีย์แลนด์ และแมจิคคิงดอม มุมมองหลายมุมของสเปซเมาท์เทน และปราสาทเจ้าหญิงนิทรา เวอร์ชั่นดิสนีย์แลนด์ปารีสนี้ดูจะเหนือกว่าแบบอเมริกัน ทั้งทางกายภาพและความสวยงาม
 
       เมื่อเริ่มเปิดดำเนินการ สวนสนุกแห่งนี้ไม่ได้ทำเงินตามที่คาดหวังไว้นัก นักวิจารณ์บางคนมุ่งประเด็นไปที่ความแตกต่างทางวัฒนธรรม เช่น ไม่มีการเสิร์ฟไวน์ในสวนสนุก ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมฝรั่งเศสที่ยึดถือกันมา
 
       ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์เป็นสวนสนุกล่าสุดที่เพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2005 โดยสร้างขึ้นจากความร่วมมือกันของบริษัทวอลซ์ ดิสนีย์ และรัฐบาลฮ่องกง ตั้งอยู่ใกล้อ่าวเพนนี (Penny's Bay) เกาะ Lantau ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
 
       สวนสนุกแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท (Hongkong Disneyland Resort) แบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ เมนสตรีทยูเอสเอ แอดเวนเจอร์แลนด์ แฟนตาซีแลนด์ และทูมอโรว์แลนด์
 

 
  

 
ภาพส่วนต่าง ๆ ภายในฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ 
 
       ในวันเปิดตัวสวนสนุกในฝันที่ฮ่องกง มีเสียงบ่นจากแฟนพันธุ์แท้ดิสนีย์แลนด์มาประปรายว่า เครื่องเล่นส่วนต่าง ๆ ยังมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับดิสนีย์แลนด์แห่งอื่น ๆ ทั้งนี้มีผู้วิเคราะห์ว่าอาจเป็นเพราะปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นกับดิสนีย์แลนด์ปาร์คที่ปารีส ทำให้บริษัทวอลซ์ดิสนีย์ไม่กล้าลงทุนมากในสวนสนุกแห่งใหม่ จึงเริ่มต้นสร้างด้วยเครื่องเล่นที่จำกัด และจึงค่อยขยายเพิ่มเติมภายหลัง นอกจากนี้ยังอาจเป็นเพราะการเจรจาที่จะเปิดดิสนีย์แลนด์ที่เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ทำให้รัฐบาลฮ่องกงไม่กล้าทุ่มทุนมากเช่นกัน หากการเจรจาเป็นผลสำเร็จ เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์ ก็จะเริ่มออกแบบในปี 2006 ลงมือก่อสร้างในปี 2008 และเปิดดำเนินการในปี 2012 ซึ่งแน่นอนว่าการเปิด เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์ย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ เนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายจำนวนไม่น้อยนั้นมาจากจีนแผ่นดินใหญ่
 
       นอกจากดิสนีย์แลนด์ทั้ง 4แห่ง (ไม่รวมโตเกียวดิสนีย์แลนด์ี่ ซึ่งเป็นดิสนีย์แลนด์แห่งเดียวที่ บริษัท วอลซ์ ดิสนีย์ ไม่ได้เป็นเจ้าของ) บริษัท วอลซ์ ดิสนีย์ ยังมีเรือนำเที่ยว Disney Cruise Line มีเรือให้บริการ 2 ลำ คือ ดิสนีย์ แมจิค (Disney Magic) และดิสนีย์ วันเดอร์ (Disney Wonder) สร้างขึ้นโดยอู่ต่อเรือ Fincantieri ประเทศอิตาลี เป็นเรือสองลำแรกที่ออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อเป็นเรือท่ิองเที่ยวสำหรับครอบครัว โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้ปกครองและเด็กเล็ก ๆ โดยดิสนีย์ แมจิคเริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปี 1995 รับผู้โดยสารได้ประมาณ 1,800 คน และในปี 1999 ก็ได้เปิดบริการ ดิสนีย์ วันเดอร์ รับผู้โดยสารได้มากถึงประมาณ 3,325 คน
 
ดิสนีย์ แมจิคดิสนีย์ วันเดอร์ทางเดิน(ถนน)ในเรือ
Castaway Cayดาดฟ้าเรือ
โดนัลด์ภายในเรือกัปตันมิคกี้แผนผังภาพ
 
       สำหรับเส้นทางเดินเรือโปรแกรมมาตรฐานจะแล่นไปตาม Castaway Cay ซึ่งเป็นเกาะส่วนตัวของบริษัท วอลซ์ ดิสนีย์ในบาฮามาส์ (Bahamas) โดยเริ่มออกจากท่าเรือ Canaveral ในฟลอริดา หยุดพักที่ Castaway Cay ผ่านแคริบเบียน (Caribbean) บางครั้งก็จะมีโปรแกรมเข้าพักที่ วอลซ์ดิสนีย์ เวิล์ด รีสอร์ทควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวทางทะเลด้วย เส้นทางเดินเรือส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 3 - 7 คืน ยกเว้นเส้นทางพิเศษที่อาจใช้เวลานานกว่า และในปี 2005 ทาง Disney Cruise Line ได้ส่งเรือดิสนีย์ แมจิคไปยังแคลิฟอร์เนีย เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Happiest Homecoming on Earth ฉลอง 50 ปีดิสนีย์แลนด์
 
ทั้งหมดนี้คือความสำเร็จที่เกิดจากความพยายามและความตั้งใจจริงที่ไม่เคยหยุดนิ่งของวอลซ์ ดิสนีย์ กับคำพูดที่ว่า 
"If you can dream it, You can do it" 
ถ้าคุณฝันได้ คุณก็ทำได้
ถึงวันนี้คุณได้ทำความฝันของคุณให้เป็นจริงหรือยัง