เป็นยุคสมัยที่บ้านเมืองต้องทำศึกสงครามอยู่เกือบตลอดเวลา ทั้งสงครามภายนอกและสงครามภายใน ดังนั้น การดนตรีไทยในสมัยนี้จึงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ได้รับแบบแผนจาก สมัยสุโขทัยมากนัก
วงปี่พาทย์ เครื่องห้า เครื่องดนตรีที่มีมาจากสมัยสุโขทัย คือ ปี่ใน ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด และฉิ่ง ในสมัยอยุธยายังคงแบบเดิมไว้ทั้งหมด แต่ในช่วงปลายสมัยอยุธยา "ระนาด" ก็ได้เข้ามาเป็นเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์เครื่องห้าและแม้จะมีระนาดเพิ่ม เข้ามาก็ตาม "วงปี่พาทย์เครื่องห้า" ก็ยังคงเรียกชื่อเดิมอยู่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
วงมโหรี เป็นวงดนตรีที่เกิดขึ้นสมัยอยุธยา มีผู้หญิงเป็นผู้บรรเลง สำหรับขับกล่อมพระมหากษัตริย์ให้ทรงพระเกษมสำราญ โดยการบรรเลงวงมโหรีในครั้งแรกมีผู้บรรเลงทั้งหมด 4 คน คือ
1. คนดีดพิณที่เรียกว่า กระจับปี่
2. คนสีซอสามสาย
3. คนตีทับ (โทน)
4. คนตีกรับพวง
ต่อมาได้มีการเพิ่มคนบรรเลงและเครื่องดนตรีขึ้นมาอีก นั่นคือ คนตีรำมะนา (ให้ตีคู่กับโทน) 1 คน และเป่าขลุ่ยอีก 1 คน รวมขณะนี้มีผู้บรรเลงในวงมโหรีทั้งสิ้น 6 คน แต่ในภายหลังได้เพิ่มฉิ่งขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างด้วย
ซึ่งในระยะเวลาต่อมาได้มีการนำเอาจะเข้ที่เป็นเครื่องดนตรีของมอญเข้ามาแทน กระจับปี่เพราะมีเสียงที่ไพเราะกว่า นอกจากนี้ยังดีดได้ง่ายและสะดวกกว่ากระจับปี่
วงเครื่องสาย เครื่องดนตรีประเภทสายที่มีอยู่ในสมัยอยุธยานั้นมีอยู่แล้วมากมายหลายชนิด และได้รับความนิยมในการเล่นอย่างแพร่หลายจากผู้คนสมัยนั้น จนกระทั่งการเล่นเครื่องดนตรีประเภทสายเป็นไปจนเกินขอบเขตโดยเข้าใกล้เขตพระ ราชฐาน จึงได้มีการออกกฏหมายมณเฑียรบาลบัญญัติเป็นกฎหมายเพื่อกำหนดโทษสำหรับผู้ กระทำผิดที่เล่นดนตรีจนเกินขอบเขตขึ้นมาในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดยเครื่องดนตรีที่ถูกระบุไว้ในกฎมณเฑียรบาลก็ล้วนมีอยู่ในวงเครื่องสายทั้ง สิ้น ทั้งซอ ขลุ่ย จะเข้และโทนหรือทับ
ดังนั้น วงเครื่องสายในสมัยอยุธยาจึงมีเครื่องดนตรีประเภทสายอยู่แล้วอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ ทั้งเครื่องดนตรีที่ใช้ในการบรรเลงทำนอง ได้แก่ ซอด้วง ซออู้ จะเข้ ขลุ่ยและเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ ได้แก่ โทนหรือทับและฉิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น